ผู้หญิงเกือบทุกคนคงเคยเจอปัญหาเรื่องประจำเดือนที่มาไม่ปกติกันใช่ไหมคะ..? ไม่ว่าจะเป็น ประจำเดือนมาเยอะกว่าปกติ หรือไม่มาเลย และคงคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่อันตรายอะไร แต่อยากจะบอกว่าอาการเบื้องต้นเหล่านี้เราไม่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณของการเกิดโรคร้าย หรืออาการผิดปกติบางอย่างของร่างกายก็เป็นได้ วันนี้แพทย์หญิง รวีวรรณ คำโพธิ์ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลลานนา จะพามารู้ถึงสาเหตุ และการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเพื่อทำให้ประจำเดือนมาปกติกันค่ะ
ประจำเดือนถือเป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงสุขภาพในการเจริญพันธุ์ของผู้หญิงทุกคน การจดบันทึกเป็นประจำจะช่วยในการตรวจสอบและสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้ หากประจำเดือนมาตามปกติ ก็จะมาทุก 28 วัน หรือคลาดเคลื่อนจากวันเดิมเล็กน้อย แต่ถ้า "ประจำเดือนมาไม่ปกติ" จะสังเกตได้จาก ประจำเดือนไม่มา หรือประจำเดือนช้า หรือเร็วกว่ากว่าปกติ มีประจำเดือนนานเกิน 7 วัน มีเลือดออกนอกรอบประจำเดือน โดยมีลักษณะเป็นลิ่มเลือด หรือเป็นก้อนๆ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นลักษณะอาการของประจำเดือนผิดปกตินั่นเอง
โดยสาเหตุของประจำเดือนมาไม่ปกติ มักเกิดจากความเครียด ความอ้วน การใช้ยาคุมกำเนิด โรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ ระดับฮอร์โมนขาดความสมดุล ความผิดปกติต่างๆ เกี่ยวกับต่อมไทรอยด์หรือระบบสืบพันธุ์ และอาจเกิดจากความผิดปกติของมดลูก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ปกติ อีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญและน่ากลัวที่สุด คือ มะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์ของสุภาพสตรี เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกผิดปกติในสุภาพสตรีที่พบได้บ่อยเช่นกัน
ประจำเดือนมาไม่ปกติสามารถแบ่งตามลักษณะการมาของประจำเดือนได้หลายรูปแบบ
- ประจำเดือนมามาก (Menorrhagia) คือ การมีประจำเดือนติดต่อกันเกิน 7 วัน และอาจพบลิ่มเลือดหรือก้อนเลือดออกมาพร้อมกับประจำเดือนด้วย โดยสาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนมามากนั้น อาจเกิดจากการติดเชื้อ มีก้อนเนื้องอก อุ้งเชิงกรานอักเสบ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่สมดุล
- ประจำเดือนมาน้อย (Hypomenorrhe) โดยปกติ ระยะเวลาในการมีประจำเดือนแต่ละครั้งจะอยู่ที่ประมาณ 3-5 วัน แต่เมื่อไหร่ที่ประจำเดือนมาน้อยกว่า 1 วัน จะถือว่าประจำเดือนมาน้อย ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การคุมกำเนิดที่มีผลต่อการตกไข่ ภาวะถุงน้ำ PCOS เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ โรคไทรอยด์ น้ำหนักตัวน้อยเกินไป หรือการมีภาวะเครียดสะสม
- ประจำเดือนขาด (Amenorrhea) หรือประจำเดือนไม่มา หมายถึง การขาดประจำเดือนติดต่อกันตั้งแต่ 3 รอบขึ้นไปในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ รวมถึงการไม่เคยมีประจำเดือนเลยในกรณีของวัยรุ่นที่อายุ 16 ปีขึ้นไป
- ประจำเดือนห่าง (Oligomenorrhea) คือ การที่มีประจำเดือนห่างกันเกิน 35 วันในแต่ละรอบ และใน 1 ปี มีประจำเดือนเพียง 4-9 ครั้งเท่านั้น
- ประจำเดือนมาบ่อย (Polymenorrhea) คือ การมีระยะห่างระหว่างรอบเดือนสั้นกว่า 21 วัน
- ประจำเดือนเลื่อน (Delayed Period) คือ การที่ประจำเดือนที่เคยมาเป็นประจำทุกๆ 21-35 วัน มาเร็วหรือช้ากว่ารอบเดือนก่อนหน้าเกิน 7 วัน
- ประจำเดือนหลังวัยทอง (Postmenopausal Bleeding) คือ การที่เข้าสู่วัยทองแต่กลับมามีประจำเดือนหลังประจำเดือนหยุดไปแล้วประมาณหนึ่งปี
- ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ (Metrorhagia) คือ การที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอในแต่ละรอบเดือน ซึ่งโดยทั่วไป ช่วงระยะห่างของการมีประจำเดือนในแต่ละครั้ง มักอยู่ที่ 21-35 วัน แต่เมื่อไหร่ที่ระยะห่างรอบเดือนน้อยกว่า 21 วัน หรือประจำเดือนขาด คือ 2-3 เดือนมาสักครั้ง และมาแบบกะปริดกะปรอย ก็ถือว่าประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติของมดลูก โรคเกี่ยวกับถุงน้ำรังไข่ ระดับฮอร์โมนขาดความสมดุล ซึ่งมักพบในคนที่มีภาวะเครียดหรืออ้วนมากๆ
เบื้องต้น เราสามารถดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้แข็งแรงเพื่อทำให้ประจำเดือนมาปกติได้ อย่างเช่นการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เลือกทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดูแลสุขภาพของน้ำหนักตัว ไม่ให้อ้วนหรือผอมเกินไป ลดความเครียดและผ่อนคลายจิตใจ เพราะทุกครั้งที่เกิดความเครียด ร่างกายจะหลั่งสารที่ส่งผลทำให้ประจำเดือนแปรปรวน หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ควรเลือกการออกกำลังกายที่ไม่หนักจนเกินไป หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ ได้แก่ สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อตรวจภายใน จะได้ทราบถึงภาวะสุขภาพของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง หากพบความผิดปกติ จะได้รักษาทันท่วงที
หากคุณผู้หญิงดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้แข็งแรงแล้ว แต่ยังมีอาการประจำเดือนมาไม่ปกติอยู่ ควรเข้ารับคำปรึกษาจากสูตินรีแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เพราะหากปล่อยไว้ อาจลุกลามจนกลายเป็นโรคร้ายได้
แพทย์หญิง รวีวรรณ คำโพธิ์
สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลลานนา