โรคหลอดเลือดโป่งพองคืออะไร?
ลองนึกภาพท่อประปาที่ใช้งานมานานจนผนังท่อเริ่มบางและบวมออกเป็นกระเปาะ เมื่อเกิดกับหลอดเลือดแดงใหญ่ในร่างกายเรา ก็จะเรียกว่า "โรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง" ซึ่งอันตรายมากหากปล่อยทิ้งไว้ เพราะกระเปาะที่โป่งพองนี้ อาจขยายขนาดใหญ่ขึ้นจนถึง 5 ซม. หรือมากกว่า จนทำให้เกิดการแตกของหลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องท้อง ผู้ป่วยจะเกิดอาการปวดท้องเฉียบพลันอย่างรุนแรงและปวดร้าวมาถึงด้านหลัง ซึ่งหากไม่รีบรักษา อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว
การรักษาแบบเก่า vs. แบบใหม่
ในอดีต การรักษาหลักคือการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง เพื่อเปลี่ยนหลอดเลือดที่โป่งพอง ซึ่งเป็นการผ่าตัดใหญ่ ต้องพักฟื้นนานและมีความเสี่ยงสูง
แต่ปัจจุบันมีวิธีที่เรียกว่า "การใส่ขดลวดหลอดเลือดเทียม" หรือ ทางการแพทย์จะเรียกสั้นๆ ว่า EVAR (Endovascular Aortic Aneurysm Repair) ซึ่งเป็นการสอดอุปกรณ์ผ่านแผลเล็กๆ ที่ขาหนีบเข้าไปในหลอดเลือด ทำให้ผู้ป่วยเจ็บน้อยลงและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
แล้ว PMEG คืออะไร
โดยทั่วไปการรักษาโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองที่ไม่ได้ใช้การผ่าตัดใหญ่ (EVAR) จะใช้การใส่ขดลวดหลอดเลือดเทียม (Stent Graft) เข้าไปในหลอดเลือด เพื่อให้เลือดไหลผ่านขดลวดนี้แทนที่ส่วนที่โป่งพอง ทำให้ส่วนที่โป่งพองไม่ถูกแรงดันเลือดอีกต่อไป
แต่ในบางกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง แต่ตำแหน่งที่โป่งพองอยู่ใกล้กับจุดที่หลอดเลือดสำคัญที่แยกออกไปจากหลอดเลือดแดงใหญ่ เช่น หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไต หรือลำไส้ การใช้ขดลวดหลอดเลือดเทียมแบบสำเร็จรูปทั่วไป อาจทำได้ยากหรือไม่เหมาะสม เนื่องจากอาจไปปิดกั้นทางเดินเลือดของหลอดเลือดสำคัญเหล่านั้น ทำให้ผู้ป่วยจะมีปัญหาสุขภาพตามมาได้ในอนาคต
PMEG จึงเป็นเทคนิคที่เข้ามาแก้ปัญหาตรงจุดนี้ โดยแพทย์จะนำขดลวดหลอดเลือดเทียมแบบสำเร็จรูปมา "ปรับแต่ง" พิเศษในห้องผ่าตัด โดยการเจาะรู หรือสร้างแขนงหลอดเลือดเทียมเพิ่มเติม ให้ตรงกับตำแหน่งของหลอดเลือดสำคัญของคนไข้แต่ละคนอย่างแม่นยำ จากนั้นจึงนำขดลวดหลอดเลือดเทียมที่ปรับแต่งแล้วนี้ไปใส่ในร่างกายของคนไข้ ซึ่งจะช่วยรักษาสภาพการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะสำคัญต่างๆ ได้อย่างปกติ
นี่คือจุดเด่นของ PMEG (Physician-Modified Endograft) ครับ!
เจ็บน้อยกว่า ฟื้นตัวได้ไว: เป็นการผ่าตัดแบบแผลเล็ก ผู้ป่วยจึงไม่ต้องพักฟื้นนาน
ปลอดภัยและแม่นยำ: ทีมแพทย์เฉพาะทางด้านหลอดเลือดของเรามีความเชี่ยวชาญสูงในการวางแผนและปรับแต่งอุปกรณ์ให้เข้ากับผู้ป่วยแต่ละคน
ทางเลือกสำหรับเคสที่ซับซ้อน: เป็นทางออกที่ดีสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีปกติได้
ใครบ้างที่ควรตรวจคัดกรองโรคหลอดเลือดโป่งพอง?
โรคนี้มักจะไม่มีอาการแสดงในระยะแรก การตรวจคัดกรองจึงมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น:
- ผู้ชายที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่เคยสูบบุหรี่
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดโป่งพอง
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หรือโรคหัวใจ
วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดโป่งพอง การตรวจวินิจฉัยโรคนี้ไม่ยุ่งยาก และสามารถทำได้หลายวิธี:
การตรวจอัลตราซาวด์หลอดเลือดแดงใหญ่หน้าท้อง (Abdominal Aorta Ultrasound): เป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว และปลอดภัยที่สุด แพทย์จะใช้คลื่นเสียงสะท้อนเพื่อดูขนาดและความผิดปกติของหลอดเลือดแดงใหญ่หน้าท้อง หากพบว่ามีขนาดใหญ่ผิดปกติ แพทย์จะแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติม
การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือด (CTA - CT Angiography): เป็นการตรวจที่ให้รายละเอียดของหลอดเลือดได้ชัดเจนที่สุด โดยจะมีการฉีดสารทึบแสง (Contrast) เพื่อให้เห็นรูปร่าง ขนาด และตำแหน่งของหลอดเลือดที่โป่งพองได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการวางแผนการรักษาด้วยวิธี PMEG
การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRA - Magnetic Resonance Angiography): เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ให้ภาพรายละเอียดของหลอดเลือดได้ดีเช่นกัน โดยไม่ต้องใช้รังสีเหมือนการทำ CT Scan
หากคุณหรือคนที่คุณรักอยู่ในกลุ่มเสี่ยง การตรวจคัดกรองเป็นประจำจะช่วยให้สามารถค้นพบโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และวางแผนการรักษาได้อย่างทันท่วงทีครับ อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดโป่งพองในช่องท้องที่มีก้อนขนาดเล็ก ซึ่งยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าต้องผ่าตัด แต่ก็ควรรับการตรวจอัลตราซาวนด์อย่างต่อเนื่อง ทุกๆ 3 - 6 เดือน
โรงพยาบาลลานนา พร้อมให้บริการตรวจคัดกรองและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
สนใจรับคำปรึกษา หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
สามารถติดต่อโรงพยาบาลลานนาได้ที่ ... 052-134-777